วิหคผืนฟ้า หมาป่าแผ่นดิน - นิยาย วิหคผืนฟ้า หมาป่าแผ่นดิน : Dek-D.com - Writer
×

    วิหคผืนฟ้า หมาป่าแผ่นดิน

    "พวกเจ้าไม่มีใครอยากไปเป็นท่านหญิงเลยหรือ?".."ไม่เอา หาเหาใส่หัวเปล่าๆ" ชั่วชีวิตของวิเศษเช่นลู่อวี้ ไหนเลยพบเจอคนประเภทนี้ ไม่ยอมไปเกิดเป็นท่านหญิงหวังเป็นเพียงชาวนา..ยอมแม้ทำตนโง่งมเลอะเลือนงำประกาย

    ผู้เข้าชมรวม

    6,501

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    6.5K

    ความคิดเห็น


    101

    คนติดตาม


    170
    จำนวนตอน :  13 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  13 ส.ค. 60 / 20:42 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

     

    -------------------------------------------------

     

    นับตั้งแต่เป็นตัวเป็นตน....หรือก็คือนับแต่ถูกสร้างมา และกลายเป็นภูตแห่งของวิเศษล้ำค่าแล้ว ตลอดช่วงชีวิตนับพันปีของนาง ลู่อวี้ไม่เคยรู้สึกหัวร่อไม่ได้ร้องไห้มิออกเท่านี้มาก่อน

     

    "พวกเจ้าจะต้องเป่ายิ้งฉุบไปจนถึงเมื่อไรกัน นี่มันสองร้อยครั้งแล้วนะ" ลู่อวี้อดรนทนไม่ไหวในที่สุด "ข้าขอรับประกันเป็นกรณีพิเศษ ด้วยพลังของข้า พวกเจ้าอีกคนจะเป็นท่านหญิงก็ยังสามารถเป็นได้ ต่อให้เป็นองค์หญิงก็ยังเป็นได้ ขอเพียงพวกเจ้าตัดสินใจมา...."

     

    "นั่นแหละที่ไม่เอา" ไม่ทันขาดคำของลู่อวี้ ก็มีเสียงขัดประสานกันสองเสียงอย่างพร้อมเพรียงจนน่าชื่นชม

     

    "ก็ได้ จริงๆคือข้าจะให้พวกเจ้าจับไม้สั้นไม้ยาวกัน..."

     

    คราวนี้เสียงค้านค่อยเงียบลง กลายเป็นเสียงร้องอ้อในลำคอ ก่อนคนหนึ่งจะกล่าว

    "คนที่ได้ไม้ยาวคือผู้ชนะ"

     

    อีกคนพยักหน้า

    "ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร"

     

    ลู่อวี้ถอนใจ แล้วสะบัดมือเบาๆ  ไม้ที่จะกำหนดชะตากรรมของวิญญาณทั้งสองก็อยู่ในกำมือนาง นางยื่นมือออกไป ระหว่างนั้นก็อดถามไถ่ไม่ได้

    "พวกเจ้า....คนที่ไม่ได้ไปเป็นท่านหญิง อยากจะไปเป็นอะไร ?"

     

    คนที่อยู่ทางซ้ายของลู่อวี้เอื้อมไปหยิบไม้ทางขวา พลางตอบ

     

    "เป็นแม่ค้า ทำมาค้าขายก็ไม่เลว...จริงสิ ฉันชอบกินน้ำเต้าหู้ เป็นแม่ค้าขายน้ำเต้าหู้ดีกว่า ยังไงทำของกินเป็นก็ไม่อดตายแน่ๆ"

     

    อีกคนที่หยิบไม้ด้านตรงข้ามกับตัวเองเช่นกัน หัวเราะเบาๆเมื่อเอ่ยบ้าง

     

    "แบบนั้นเจอคนเยอะไป ฉันอยากอยู่อย่างสงบมากกว่า ...ไปทำไร่ไถนาน่าจะดีนะ มีครอบครัวสักครอบครัว เล็กใหญ่ไม่ว่า เพียงตื่นแต่เช้าก็คว้าจอบเดินไปทำไร่ ทำนาจนหมดแรง เย็นมาก็นอนได้เลย ต่อให้ข้าวยากหมากแพงก็คงพอขุดหัวมันกินประทังได้กระมัง"

     

    "...." ลู่อวี้อึ้งไปเล็กน้อย กว่าจะหาเสียงของตัวเองเจออีกครั้ง "พวกเจ้า...ไม่มีใครอยากจะเกิดเป็นยอดหญิงงามล่มเมือง คุณหนูสะคราญผู้เก่งกาจ  องค์หญิงผู้ปราดเปรื่องเลื่องชื่อ...."

     

    "ลำบากไป ไม่เอา" ทั้งคู่ตอบอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกครั้ง ก่อนพลิกไม้ในมือ

     

     

    -------------------------------------------------

     
     

      

    หมิงเสี่ยวอิง

     ท่านหญิงน้อยที่สองในเจิ้งอ๋องอาภัพนัก อายุไม่ทันชนขวบมารดาก็เสียชีวิต หนำซ้ำแม้มีรูปโฉมสะคราญงดงาม  ฮ่องเต้ทรงสงสารเอ็นดู แต่ท่านหญิงน้อยกลับไม่สมประกอบ สติเลอะเลือนเลื่อนลอย คล้ายไม่รู้สึกตนในบางครั้ง แต่ยามรู้สึกตัว กลับคลับคล้ายเพียงเด็กน้อยไม่ประสาโง่งมผู้หนึ่ง
     

     คนเลอะเลือนเช่นนี้ ต่อให้สะคราญหยาดฟ้าแล้วเป็นอย่างไร สูงศักดิ์แล้วจะมีความหมายใดกัน....
     

     "เลอะเลือนแล้วอย่างไร โง่งมแล้วนับเป็นอะไร ในวังหลวงแห่งนี้ แท้จริงแล้วยังมีผู้ใดที่ไม่เลอะเลือนในสิ่งอันไร้ความหมาย โง่งมงายกับเรื่องอันควรปล่อยวาง...ที่แท้แล้ว ไม่ใช่เราท่านทั้งหมดต่างเลอะเลือน ต่างงมงายหรือ ?" ผู้พูดเงยหน้า "ให้ข้าเป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร ข้าเป็นให้ก็ได้ แต่สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าใครก็บังคับให้ข้าเดินในทางที่ไม่อยากเดินไม่ได้ !"

     

    เหยี่ยวภูเขา(อิง หมายถึงเหยี่ยว) เลอะเลือนหรือไม่ โง่งมหรือไม่ ใช่เรื่องสำคัญ

     

    สำคัญเพียง....สามารถโบยบินอย่างอิสระยิ่งกว่าผู้ใด !

     

    ______________________________________



    เฟิงหลินเตียว

     นั่นเป็นเรื่องบังเอิญอันแปลกประหลาด หรือเป็นชะตาจากสวรรค์แห่งใด ? ในวันที่เด็กน้อยนั่นเกิด ลูกอินทรีดำตัวหนึ่งได้พลัดตกลงมาบนที่นอนของทารกน้อย ทั้งคู่ไม่เพียงไม่อาละวาดใส่กัน ไม่ทำร้ายกัน กลับนอนอิงแอบอยู่แนบชิดกัน
     

     และนับแต่วันนั้นเอง....ทารกน้อยจึงได้ชื่อว่า "หลินเตียว" (อินทรีดำ)
     

     "อินทรีดำชมชอบบินอยู่เหนือยอดไม้ แฝงตัวอยู่กับฉากหลังของผืนป่า หากท่วงท่ายามบินของมันกลับสง่างามหนักแน่นอย่างไม่มีนกใดเปรียบได้ มันสามารถโผบินอยู่ที่สูงก่อนถลาลงมาด้วยความเร็วอันแทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะกระทำได้ แต่มันยังสามารถกระทำ...."
     

     "กล่าวเกินไปแล้ว" เด็กน้อยผู้นั้นขยับรอยยิ้มอันเซื่องซึม "ข้าเป็นเพียงแค่ลูกสาวชาวนา ไหนเลยครุ่นคิดถึงเรื่องโผบินทะยานบนฟากฟ้า เพียงวันนี้ยังมีที่ซุกหัวนอน ยังมีข้าวให้กินพอไม่อดตายก็นับเป็นพระคุณอย่างสูงแล้ว"
     

     ทว่า...ธรรมชาติของอินทรีดำ...จะก้มเก็บกินพฤกษาธัญพืชต่อไปได้...จริงหรือ ?

     

     ______________________________________

     
     


    เยว่ซื่อเหลย

     

    เผ่าเยว่ที่นอกด่านฝั่งตะวันออกนับถือสุนัขป่า ร่ำลือกันว่าหัวหน้าเผ่าเยว่คนแรกเติบโตเป็นพี่น้องกับฝูงหมาป่า ดื่มนมจากอกแม่สุนัขป่าตัวเดียวกับราชาสุนัขป่าที่ปกครองแถบนั้น และด้วยกำลังสนับสนุนจากพี่น้อง ด้วยความดุร้ายเหี้ยมหาญเช่นเดียวกับสุนัขป่า กำลังรบของเผ่าเยว่จึงขึ้นชื่อลือชาเป็นที่ครั่นคร้ามแก่ทุกผู้....

     

    "ท่านคิดถอดเขี้ยวสุนัขป่า ? หรือคิดเพียงแค่มอบลูกเหยี่ยวเลอะเลือนที่แทบไม่นับเป็นลูกเหยี่ยวตัวหนึ่งให้สุนัขป่ากินแล้วมันจะหมอบกราบภักดีต่อท่าน ? หรือคิดเป็นอย่างใด...ที่แท้ล้วนไม่สำคัญ เพราะในท้ายที่สุด หากท่านอยากให้สุนัขป่าภักดีต่อท่าน มีเพียงท่านต้องเป็นฝูงเดียวกับมัน...."

     

    "ทูลฝ่าบาท ความภักดีของหม่อมฉันไม่มีที่สิ้นสุด แม้ต่อให้ไม่พระราชทานท่านหญิงในเจิ้งอ๋อง หม่อมฉันก็ยังยินดีถวายรับใช้ด้วยชีวิต หากฝ่าบาททรงโปรด ให้หม่อมฉันนำทัพเถิด....."

     

    สุนัขป่าปรารถนาสงคราม กระหายชัยชนะ ไม่ต้องการเพียงสิ่งเดียว...หญิงงามอันโง่งมเลอะเลือน !

     

     ______________________________________

     
     


     

    หมิงฉิงเจีย

     

    บุตรคนที่สามแห่งไท่อ๋อง ปราศจากบรรดาศักดิ์เป็นชิ้นอัน ด้วยไม่เก่งกาจการศึกเช่นท่านอ๋องน้อย ไม่เชี่ยวชาญการเรียนเช่นพี่รอง มีเพียงรอยยิ้มอันสัตย์ซื่อจริงใจดูป็นมิตรเท่านั้น ที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายพอจะไม่ระคายใจ ยังคงคบหาฉิงเจียเป็นสหายได้บ้าง

     

    กับอีกประการ...คนผู้นี้คล้ายเป็นคนเดียว ที่ยังพอสนทนากับลูกพี่ลูกน้องเช่นท่านหญิงผู้เลอะเลือนเสี่ยวอิงได้..

     

    "ในชีวิตของคนผู้หนึ่ง ท่านต้องการเพียงรบทัพจับศึก ? ต้องการเพียงเล่าเรียน ? ต้องการเพียงเท่านั้นจริงน่ะหรือ ? ที่แท้แล้วในชีวิตของท่าน ยังใช่ต้องการสายลมพัดผ่านให้หายใจเข้าออก ต้องการผืนดินให้เหยียบย่างลงไป ต้องการสายน้ำเย็นใจด้วยมิใช่หรือ แล้วไยต้องเป็นเพียงแม่ทัพร้อยศึก ปราชญ์พันอักษรกัน...."

     

    ฉิงคือท้องฟ้าอันสดใสปลอดโปร่ง เจียคือความงดงาม... ดังนั้น สำหรับฉิงเจียแล้ว...ที่แท้โลกนี้ใช่งดงามโดยมิพักต้องกรำศึก แย่งชิงความรู้กับใครใช่หรือไม่ ?

     

    -------------------------------------------------

     

     

     

    .....ทว่าโชคชะตาก็ดี โลกใบนี้ก็ดี....

    ใช่สามารถปล่อยให้ผู้คนดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขหรือ ?

    ใช่ไม่ต้องบีบคั้นผู้คนตลอดไป....กระนั้นหรือ ?



    -------------------------------------------------



     

    เพลงธีมของเรื่องนี้ค่ะ ลองกดฟังสร้างบรรยากาศ(?)ได้นะคะ ^^










    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น